วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ประวัติอริสโตเติล



ประวัติอริสโตเติล Aristotle
เกิดเมื่อปี 348ก่อนคริสตกาล
สถานที่เกิด ประเทศกรีก
ถึงแก่กรรมเมื่อ322ปีก่อนคริสตกาล
อริสโตเติลเป็นนักวิทยาศาสตร์และนักปรัชญาชาวกรีกในสมัยโบราณ เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ที่ทำการศึกษาค้นคว้าในทางวิทยาศาสตร์ทุกแขนงมาเป็นเวลานานมากกว่าหนึ่งพันปี อริสโตเติลเป็นบุตรของนายแพทย์ประจำพระองค์กษัตริย์เมซิโดเนีย เขาได้ศึกษาและอยู่กับพลาโต้ จนพลาโต้เสียชีวิต หลังจากนั้นเขาได้มาเป็นครูสอนให้กับอเล็กซานเดอร์มหาราช ในระยะนั้นอริสโตเติลเขียนตำราไว้มากมาย เช่น ชีววิทยา วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ วิชาการปกครอง ฯลฯ นอกจากนี้เขาได้รับการยกย่องว่าเป็น บิดาแห่งสัตววิทยา ในฐานะที่เขาเป็นบุคคลแรกที่บันทึกพฟฒิกรรมของสัตว์ พืช และมนุษย์อย่างลึกซึ้ง เป็นผู้ริเริ่มจำแนกสัตว์เป็น 2 พวก คือ สัตว์มีกระดูกสันหลัง และสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง



เขาเป็นบุคคลแรกที่ให้ทฤษฎีว่า " โลกอยู่ตรงกลางของจักรวาล โดยมีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์หมุนรอบ " และทฤษฎีที่ว่า " วัตถุที่มีน้ำหนักมากจะตกถึงพื้นก่อนวัตถุที่มีน้ำหนักเบา " ทฤษฎีของเขามากมายเป็นที่ยอมรับนับถือมากจนถึงสมัยคริสตศตวรรษที่ 14 แม้ว่าทฤษฎีของเขามีข้อผิดพลาดซึ่งมีผู้สามารถพิสูจน์ว่าผิดในภายหลัง แต่ก็ต้องเข้าใจว่าในสมัยนั้นยังไม่มีกล้องจุลทรรศน์เลย แต่เป็นการแสดงให็เห็นว่าเขาเป็นนักสังเกตและนักคิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่ง

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเพลโต



เพลโต สร้างเมื่อ 31-05-2007 โดย skywide
เพลโต ชื่อ: เพลโต (Πλάτων) เกิด: c. พ.ศ.116–พ.ศ.117, เอเธนส์ เสียชีวิต: c. พ.ศ.196–พ.ศ.197 , เอเธนส์ School/tradition: พลาโตนิซึม ความสนใจ: Rhetoric, ศิลปะ, วรรณกรรม, ญาณวิทยา, ความยุติธรรม, Virtue, การเมือง, การศึกษา, ครอบครัว, การทหาร แนวความคิด: ความเป็นจริงของพลาโต ได้รับแรงบัลดาลใจจาก: โสคราตีส, โฮเมอร์, เฮซอย, Aristophanes, Aesop, Protagoras, Parmenides, Pythagoras, Heraclitus, Orphism สร้างแรงบัลดาลใจให้กับ: อริสโตเติล, Neoplatonism, Cicero, Plutarch, Stoicism, Anselm, Descartes, Hobbes, Leibniz, Mill, Schopenhauer, Nietzsche, Heidegger, Arendt, Gadamer and countless other western philosophers and theologians แม่แบบ:Plato "แนวคิดหลักทางปรัชญาของยุโรป ล้วนแต่เป็นเชิงอรรถของเพลโต" -- อัลเฟรด นอร์ท ไวท์เฮด, Process and Reality, ค.ศ. 1929เพลโต (ในภาษากรีก: Πλάτων Plátōn, ในภาษาอังกฤษ: Plato) (427 - 347 ปีก่อน ค.ศ.) เป็นนักปรัชญาชาวกรีกโบราณที่มีอิทธิพลอย่างสูงต่อแนวคิดตะวันตก เขาเป็นลูกศิษย์ของโสกราติส เป็นอาจารย์ของอริสโตเติล เป็นนักเขียน และเป็นผู้ก่อตั้งอาคาเดมีซึ่งเป็นสำนักวิชาในกรุงเอเธนส์เพลโตใช้เวลาส่วนใหญ่สอนอยู่ที่อาคาเดมี แต่เขาก็ได้เขียนเกี่ยวกับปัญหาทางปรัชญาไว้เป็นจำนวนมาก โลกปัจจุบันรู้จักเขาผ่านทางงานเขียนที่หลงเหลืออยู่ ที่ถูกนำขึ้นมาแปลและจัดพิมพ์เป็นในช่วงการเคลื่อนไหวด้านมนุษยนิยม งานเขียนของเพลโตนั้นส่วนมากแล้วเป็นบทสนทนา คำคม และจดหมาย ผลงานที่เป็นที่รู้จักของเพลโตนั้นหลงเหลืออยู่ทั้งหมด อย่างไรก็ตามชุดรวมงานแปลปัจจุบันของเพลโตมักมีบางบทสนทนาที่นักวิชาการจัดว่าน่าสงสัย หรือคิดว่ายังขาดหลักฐานที่จะยอมรับว่าเป็นของแท้ได้ในบทสนทนาของเพลโลนั้น บ่อยครั้งที่มีโสกราติสเป็นตัวละครหลัก ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้่างความสับสนว่าความเห็นส่วนใดเป็นของโสกราติส และส่วนใดเป็นของเพลโตประเด็นหลักในงานเขียนของเพลโต เราจะพบการโต้เถียงเกี่ยวกับรูปแบบของการปกครองทั้งแบบเจ้าขุนมูลนาย และแบบประชาธิปไตย เราจะพบการโต้เถียงเกี่ยวกับผลของสิ่งแวดล้อมกับผลของพันธุกรรม ต่อสติปัญญาและอุปนิสัยของมนุษย์ ซึ่งการโต้เถียงนี้เกิดขึ้นมานานก่อนการโต้เถียงเรื่อง "ธรรมชาติหรือการเลี้ยงดู" ที่มีขึ้นในช่วงเวลาของฮอบบส์ และล็อก และยังมีผลต่อเนื่องมาถึงงานเขียนที่ก่อให้เกิดการโต้แย้งเช่นหนังสือ The Mismeasure of Man และ The Bell Curve เรายังจะพบข้อคิดเห็นที่สนับสนุนอัตวิสัยและปรวิสัยของความรู้ของมนุษย์ ที่มีผลมาถึงการโต้เถียงสมัยใหม่ระหว่างฮูม และคานท์ หรือระหว่างนักหลังสมัยใหม่นิยมและผู้ที่ไม่เห็นด้วย กระทั่งเรื่องราวของเมืองหรือทวีปที่สาปสูญเช่นแอตแลนติส ก็ยังถูกยกมาเป็นตัวอย่างในงานของเพลโต เช่น Timaeus หรือ Critias.เพลโตเขียนงานแทบทั้งหมดในรูปของบทสนทนา ในงานชิ้นแรกๆ ตัวละครสนทนาโดยการถามคำถามกันไปมา อย่างมีชีวิตชีวา ตัวละครที่โดดเด่นคือโสกราติสที่ใช้รูปแบบของวิภาษวิธีที่ยังไม่ถูกจัดเป็นระบบ กลุ่มของผลงานนี้รวมเรียกว่าบทสนทนาโสกราติสแต่คุณภาพของบทสนทนาได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากตลอดช่วงชีวิตของเพลโต เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่างานชิ้นแรกๆ ของเพลโตนั้น วางรากฐานอยู่บนความคิดของโสกราติส ในขณะที่ในงานเขียนชิ้นถัดๆ มา เขาได้ค่อยๆ ฉีกตัวเองออกจากแนวคิดของอาจารย์ของเขา ในงานชิ้นกลางๆ โสกราติสได้กลายเป็นผู้พูดของปรัชญาของเพลโต และรูปแบบของการถาม-ตอบ ได้เปลี่ยนเป็นแบบ "เหมือนท่องจำ" มากขึ้น: ตัวละครหลักนั้นเป็นตัวแทนของเพลโต ในขณะที่ตัวละครรองๆ ไป แทบไม่มีอะไรจะกล่าวนอกจาก "ใช่" "แน่นอน" และ "จริงอย่างยิ่ง" งานชิ้นหลังๆ แทบจะมีลักษณะเหมือนเรียงความ และโสกราติสมักไม่ปรากฎหรือเงียบไป เป็นที่คาดการณ์กันว่างานชิ้นหลังๆ นั้นเขียนโดยเพลโตเอง ส่วนงานชิ้นแรกๆ นั้นเป็นบันทึกของบทสนทนาของโสกราติสเอง ปัญหาว่าบทสนทนาใดเป็นบทสนทนาของโสกราติสอย่างแท้จริง เรียกว่าปัญหาโสกราติสลักษณะการสร้างฉากที่มองเห็นได้ของบทสนทนา สร้างระยะห่างระหว่างเพลโตและผู้อ่าน กับปรัชญาที่กำลังถูกถกเถียงในนั้น ผู้อ่านสามารถเลือกรูปแบบการรับรู้ได้อย่างน้อยสองแบบ: อาจจะเข้าไปมีส่วนร่วมในบทสนทนาเกี่ยวกับแนวคิดที่กำลังพูดคุยกันอยู่, หรือเลือกที่จะมองเนื้อหาว่าเป็นการแสดงออกถึงอุปนิสัยที่อยู่ในผลงานนั้นๆรูปแบบการสนทนาทำให้เพลโตสามารถถ่ายทอดความเห็นที่ไม่เป็นที่นิยมผ่านทางตัวละครที่พูดจาไม่น่าคล้อยตาม เช่น Thrasymachus ใน สาธารณรัฐผลงานที่เป็นที่จดจำที่สุด หรืออาจเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเพลโต ก็คืออภิปรัชญาแบบทวิภาค ที่มักเรียกกันว่า (ในอภิปรัชญา) ลัทธิเพลโต หรือ (ถ้าเรียกให้เกินจริง) สัจนิยม อภิปรัชญาของเพลโตได้แบ่งโลกออกเป็นสองมุม คือ โลกของรูปแบบ (form) และโลกที่รับรู้ได้ เขามองว่าโลกที่รับรู้ได้ รวมถึงสิ่งของต่าง ๆ ในนั้น คือ สำเนาที่ไม่สมบูรณ์แบบจาก รูปแบบ ที่คิดคำนึงได้ หรือ แนวความคิด โดยที่รูปแบบเหล่านี้จะไม่เปลี่ยนแปลง และอยู่ในสภาวะสมบูรณ์แบบเสมอ การทำความเข้าใจกับรูปแบบเหล่านี้จะต้องใช้สติปัญญา หรือความเข้าใจเท่านั้น อย่างไรก็ตามแนวคิดของการแบ่งแยกนี้ได้มีการค้นพบมาก่อนหน้าเพลโนในปรัชญาของโซโรแอสเตอร์ โดยเรียกว่าโลกมินู (ปัญญา) และ โลกกีติ (สัมผัส) รวมถึงแนวคิดเกี่ยวกับรัฐอุดมคติ ที่โซโรแอสเตอร์เรียกว่า ชาห์ริวาร์ (เมืองอุดมคติ)
ที่มา http://www.bloggang.com/